ส่งต่อความรู้


บันทึกฮาล์ฟมาราธอนครั้งแรก

ก่อนอื่นเลย เราเริ่มวิ่งแบบจริงๆจังๆแบบนับระยะ ก็ประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว

ช่วงประมาณปีแรกก็วิ่งออกกำลังกายทั่วไป ซึ่งต่อมาก็รู้ว่าเป็นกีฬาเดียวที่เราถนัดมากที่สุดและชอบที่สุด

ช่วงแรกๆของปีนั้นก็แค่รักษาสุขภาพ เข้าฟิตเนสครั้งหนึ่งก็วิ่งลู่ไม่ถึง 3-4 กิโล หรือบางทีก็ไปสนามกีฬาของมหาลัย ก็ได้ระยะที่ไม่ต่างกัน

จนวันหนึ่งเปิดไอจีแล้วเห็นรูปเพื่อนถ่ายรูปคู่กับเหรียญ

นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้รู้ว่าการเป็นนักกีฬาวิ่งมันไม่ได้ห่างไกลเกินเอื้อม

หลังจากนั้นไม่นานเราก็ได้ลงวิ่งในงานของ “เดิน-วิ่งการกุศล ศัลยศาสตร์รามาธิบดี” (จำได้แม่นเลย)

ตอนนั้นลงไปแค่ 5 กิโล เป็นระยะที่เรียกว่าเดิน-วิ่งเพื่อสุขภาพ’

เป็นการวิ่งจริงจังครั้งแรกบนท้องถนนในกรุงเทพ ซึ่งก็ชอบเอามากๆ

จนเมื่อวิ่งถึงเส้นชัย ก็พบว่าตัวเองยังไม่ทันเหนื่อยเลย และพอดีกับที่งานนั้นไม่แจกเหรียญสำหรับระยะ 5 โล (ตอนนั้นมีระยะให้ลง5 โลและ 10 โล)

ความอยากได้และความเหนื่อยนิดเดียวเลยบอกกับตัวเองว่า ‘เฮ้ย เราน่าจะทำได้นะ’


จนเราเริ่มลงวิ่งมินิมาราธอน หรือ 10 km

บวกกับตอนนั้นเองเราก็เริ่มวิ่งหนักขึ้นๆ จาก 3-4 กิโลมาเป็น 5-7 กิโล ซึ่งเหตุผลหลักก็ไม่ได้คิดจะซ้อมวิ่งมินิอย่างเดียว บางครั้งก็แค่วิ่งปาไป 7-8 โลเพียงเพราะอยากเอาชนะใจตัวเอง

อันที่จริงจะเรียกว่าเสพติดก็ได้ เพราะก่อนวิ่งเราจะตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะวิ่งเท่าไร เช่นวันนี้นอนพองั้นวิ่งสัก 7 โลดีกว่า หรือวันนี้เรียนหนักหน่อย งั้นวิ่ง 5 โลพอ

พอเราวิ่งครบเป้าหมายก็จะเกิดอาการฟินเล็กๆ บ่อยครั้งที่บอกกับตัวเองวันนี้เหนื่อยๆแต่ก็ยังวิ่งถึงเกณฑ์ปกติที่วิ่งได้นี่นา แล้วก็ฟินนน

สิ่งที่ฟินนอกจากวิ่งครบแล้วก็คือความรู้สึกหลังวิ่ง แน่นอนว่าหลังออกกำลังกายก็จะรู้สึกดีเป็นปกติ

และสิ่งที่ฟินที่สุดอีกอย่างหนึ่งคือการได้เห็นพระอาทิตย์ตกตอนที่วิ่งเวลาเย็นๆค่ำๆ

นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่พาเราวิ่ง 10 โลได้เรื่อยๆตลอดปี


เราลงวิ่งงาน 10 km มาตลอด 2 ปี

จากที่เคยวิ่งระยะนี้ใช้เวลา 1:30 ชม. ก็ขยับมาเป็น 1:20, 1:15 , 1:13 ชม. และมีงานวิ่งที่มากกว่า 10 โลนิดหน่อย

pace ค่อยๆดีขึ้น จาก 8 ไป 7 ปลายๆ พอ 7 ปลายๆก็ไป 7 ต้นๆจนถึง 6 เลย

แต่เหมือนความรู้สึกมันตันอยู่แค่นี้

เวลาวิ่งใน 10 km ที่เราตั้งใจมา จะยากมากในการเริ่มวิ่งจากจุดสตาร์ท

เราต้องวิ่งซิกแซกไปมา เพื่อที่จะวิ่งเร็วในระดับที่ถนัดของตัวเองแต่มันยากเพราะคนที่เยอะและวิ่งช้ากว่า

เราเลยเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า หรือ 10 km มันไม่พอสำหรับเราแล้ว ?

ตอนนั้นก็มีเพื่อนเราคนหนึ่งที่ชอบวิ่งมากๆ ชวนเราไปวิ่งตลอด รวมถึงชวนวิ่ง 21 km ด้วย

เราก็ได้แต่ปฏิเสธเพราะไม่คิดว่าจะไหว แต่เหมือนคำถามเมื่อกี้มาตีกลับมาถามเราใหม่

เราไม่เคยคิดจะวิ่งระยะ 21 km แต่ความรู้สึกที่อยากพิสูจน์ตัวเองเหมือนกับในหลายครั้งที่เราชอบไปงานมาราธอน และมองคนวิ่งฮาล์ฟ, ฟูลมาราธอนว่าโคตรเจ๋งว่าเขาวิ่งไปได้ยังไง

เอาวะ ลองก็ลอง

ประจวบกับมีงาน Bangkok Midnight Marathon โผล่มาในช่วงที่คิดว่าตัวเองกำลังว่างจากธุระพอดี

เลยลงฮาล์ฟมาราธอนไป และเตรียมตารางซ้อมฮาล์ฟ

ซึ่งก็ซ้อมได้เพียงครึ่งๆ ที่คิดว่าว่างจากธุระก็ไม่ได้ว่างเอาเท่าไร ติดเรียน ติดสอบ ติดเที่ยวตปท. เป็นช่วงที่ทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วยพร้อมๆกัน

การซ้อมก็มีอันล่มไป ไม่ได้ซ้อมตามตารางที่วางไว้

จนถึงวันงานจริงๆ

เราก็เตรียมใจเอาไว้ และตั้งเป้าไว้ที่ 3 ชม.

ต้องทำได้ดิวะ

เราบอกกับตัวเองอย่างนั้นตั้งแต่รับ BIB และเสื้อ

ถึงแม้ระยะวิ่งสูงสุดที่เคยทำจะแค่ 12 โลก็ตาม


งานนี้วิ่งตอนกลางคืน เริ่มวิ่งตอนตีสาม เป็นงานวิ่งที่มาคนเดียวซึ่งก็ไม่ใช่ครั้งแรก

ตั้งแต่จุดสตาร์ท เสียงในหัวบอกต้องทำได้ดิวะชัดเจนมาตลอด

กิโลที่  1  ต้องทำได้ดิวะ

กิโลที่  2 “ต้องทำได้ดิวะ

กิโลที่ 3 “ต้องทำได้ดิวะ

กิโลที่ 4 เหมือนเสียงต้องทำได้ดิวะค่อยๆแผ่วลง

การไม่ซ้อมวิ่งมาเป็นอย่างนี้นี่เอง

เหลือวิ่งอีกตั้ง 17 โล จะวิ่งได้ยังไง


เคยมีรุ่นพี่คนนึงบอกว่า พี่เขาเจอมารผจญตอนกิโลที่ 16

เสียงมารจะลอยเข้ามาและถามว่า “เรามาที่นี่ทำไม” “เวลานี้ควรจะได้นอนไม่ใช่เหรอ” “เลิกดีกว่าน่า”

แต่นี่เรายังไม่ถึงกิโลที่ 16 เลย ในใจก็คิดว่าจะไหวไหมนะ

ตอนนั้นหิวน้ำมากๆ แวะบูธน้ำตลอดทาง ดีที่เจอบูธที่แจกกระป๋องสปอนเซอร์เลยมีแรงฮึดขึ้นมา

จนวิ่งต่อไปกิโลที่ 5, 6, 7, 8 จนถึง 9

เห้ย 9 โลแล้วเหลือระยะอีกแค่ 1 มินิมาราธอนเอง

แต่จากที่วิ่งฉลุยก็เริ่มสลับเดินมากขึ้น มากขึ้น แล้วปาไปกิโลที่ 10, 11 โดยที่เราไม่รู้ตัว

จนเห็นป้ายกิโลที่ 12

จนเลยป้ายไปก็ดีใจเล็กๆ เอาวะ  break high score แล้ว !

แต่ตอนนั้นขาและเท้าเริ่มแข็ง เริ่มเจ็บมากๆเวลาเดินแล้ว

เลยตัดสินใจที่จะวิ่งมากกว่า กลายเป็นวิ่งเหยาะๆเจ็บน้อยกว่าเดินเร็ว

กิโลที่ 13, 14, 15, 16 ก็เป็นไปด้วยความทรมานที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

จนสัมผัสได้ว่านิ้วเท้าเริ่มเจ็บ เริ่มปวดข้อเท้าทุกครั้งที่ก้าว

แต่ก็เอาวะ นี่มันอีก 5 โลเอง !

ละก็วิ่งสลับเดินไป สลับแซงคนข้างหน้าบ้าง คนข้างหลังก็สลับแซงไปบ้าง

และพบว่าวิ่งกับใกล้ๆกลุ่มคนที่วิ่งเหยาะๆเยอะๆก็จะมีแรงฮึดวิ่งมากกว่ากลุ่มที่เดินกันหมด

พอมากิโลที่ 17-18

งาน BMM นี้จ้างกองเชียร์มาเชียร์ข้างสนามด้วย

ก่อนขึ้นสะพานพระราม 8 ขาขึ้นฝั่งราชดำเนิน ก็จะมีกองเชียร์ใหญ่จุดหนึ่ง

เต็มไปด้วย เสียงกลอง เสียงคนพูดสู้ๆนะค้า” “สู้ๆค่า

เรื่องตลกอย่างหนึ่งคือพอได้ยินคำว่าสู้ๆ

เท้ามันเบาขึ้นมาทันที

อยู่ๆเท้าที่แข็งๆมันสาวก้าวได้ไวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

นี่มันจิตวิทยาล้วนๆเลย..


พอมาถึงบนสะพานพระราม 8 ราวๆ กิโลที่ 19-20

หยุดที่บูธน้ำสุดท้ายพร้อมหยิบแก้วน้ำดื่มและตัดสินใจวิ่งต่อ

..นั่นเป็นสิ่งที่ผิดพลาดมากๆ

บูธนั้นเป็นบูธสุดท้าย และเป็นบูธที่มีสเปรย์ป้องกันตะคริว

กิโลที่ 20 จึงเป็นไปด้วยความ(โคตร)ทรมาน

ขาและเท้าไม่ไหวอีกแล้ว

ได้แต่เดิน แม้จะวิ่งก็วิ่งอย่างเจ็บๆ

ป้ายอีก 700 m” ค่อยๆผ่านไป

ป้ายอีก 500 m” ผ่านไป

ป้ายอีก 150 m”

เส้นชัยไกลจังวะ

ในตอนแรกที่คิดว่าจะลงงานนี้

เคยคิดตลอดว่าตอนเข้าเส้นชัยจะต้องร้องไห้ มีความอีโมชันนอล มือปาดน้ำตา อีกมือรับเหรียญบอกพี่คนแจกเหรียญว่า ฮือ นี่ฮาล์ฟแรกของหนูค่ะ

จริงๆคือไม่เลย ทำใจตั้งแต่กิโลที่ 16 แล้วว่าเราต้องทำได้

และก็ทำได้จริงๆ

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาพตอนที่กำลังซ้อมวิ่งในหมู่บ้านตอนซ้อมในตารางที่จัดไว้ ก็ลอยขึ้นมา

ตอนนั้นถามกับตัวเองตอนกำลังวิ่งว่าแค่นี้ก็ไม่ไหวแล้ว แล้ว  21 โลจะไหวเหรอ

ตัดภาพมาตอนนี้ กำลังรับเหรียญและเสื้อ Finisher

มันก็คงประมาณนี้มั้ง

ps. จบด้วย 3.11 ชม. (จาก runtastic 21.91 km) ซึ่งมากกว่าที่คิดไว้ 11 นาที เพราะอีกิโลที่ 20 นี่ล่ะ ตอนนั้นวิ่งตาม pacer 3 ชม.ติดๆเลยจนขาไม่ไหวละ ไปก่อนเลยค่ะพี่

และจบฮาล์ฟนี้ด้วยไม่มีเสียงมารเข้ามาเลย สุดท้ายแล้วเสียงมารก็คงเป็นเสียงสะท้อนในใจเรานี่เอง

(แต่ถ้าลงฟูลก็ไม่แน่)

ส่งต่อความรู้


Comment and Feedback

One response to “บันทึกฮาล์ฟมาราธอนครั้งแรก”

  1. 2017 Half-Year Summary – mesodiar Avatar

    […] ได้วิ่ง 21km อย่างที่เคยตั้งเป้าหมายไว้ เคยเขียนตามนี้เลย […]

    Like

Leave a comment

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

Blog at WordPress.com.